วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554

รายชื่อหนังสือ

แฮร์รี่ พอตเตอร์
กับนักโทษแห่งอัซคาบัน  
อัซคาบัน.jpg
ภาพปกหนังสือฉบับภาษาไทย
ผู้ประพันธ์เจ. เค. โรว์ลิ่ง
ชื่อต้นฉบับHarry Potter and the Prisoner of Azkaban
ผู้แปลวลีพร หวังซื่อกุล
ผู้สร้างสรรค์ภาพประกอบFlag of the United States แมรี กรองด์เปร
ผู้สร้างสรรค์ปกFlag of the United Kingdom คลิฟฟ์ ไรท์
Flag of the United States แมรี กรองด์เปร
ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์
ผู้เผยแพร่สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์
วันเผยแพร่8 กรกฎาคม พ.ศ. 2542
จำนวนหน้าFlag of the United States 317 หน้า
Flag of the United States 435 หน้า
ธงชาติของไทย 517 หน้า
ฉบับก่อนหน้าแฮร์รี่ พอตเตอร์ กับห้องแห่งความลับ
ฉบับถัดมาแฮร์รี่ พอตเตอร์ กับถ้วยอัคนี
                                                                          

แฮรี่ พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน เป็นหนังสือเล่มที่สามในหนังสือชุด แฮร์รี่ พอตเตอร์ ซึ่งประพันธ์โดย เจ. เค. โรว์ลิ่ง ได้รับการตีพิมพ์และวางจำหน่ายเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 (1999) โดยสำนักพิมพ์บลูมส์บิวรี่ ฉบับภาษาไทยแปลโดย วลีพร หวังซื่อกุล จัดพิมพ์และจำหน่ายโดยสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ ต่อมาในปีพ.ศ. 2547(2004)ได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์โดยวอร์เนอร์

บราเธอร์สและออกฉายไปทั่วโลก
หนังสือเล่มนี้ดำเนินเรื่องต่อจากภาคที่สองคือ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ โดยภาคนี้มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกี่ยวกับตัวของแฮรี่ รวมทั้งมีการแทรกเรื่องของความรักไว้เล็กน้อย และเจ.เค.โรว์ลิ่งยังได้นำตำนานความเชื่อของกรีกโบราณมาใช้ในการเขียนด้วย

 โครงเรื่องโดยรวม

คลิ๊กเพื่อดูภาพขนาดจริง
เรื่องเริ่มต้นที่แฮร์รี่ซึ่งต้องใช้เวลาช่วงปิดภาคเรียนอยู่ที่บ้านเดอร์สลีย์เช่นเดียวกับปีที่ผ่านๆ มา ได้เห็นข่าวเกี่ยวกับนักโทษแหกคุกคนหนึ่งชื่อ ซิเรียส แบล็ก เมื่อป้ามาร์จพี่สาวของลุงเวอร์นอนมาเยี่ยมครอบครัวเดอร์สลีย์ และพูดจาถากถางดูถูกแฮร์รี่และพ่อแม่ แฮร์รี่โกรธจัดจนทำให้ป้ามาร์จตัวพองขึ้นเรื่อยๆ และลอยหายไป ทำให้เขาต้องหนีออกจากบ้านเพราะรู้ว่าทำผิดกฎหมายในข้อหาใช้เวทมนตร์โดยอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ ที่ถนนนอกบ้าน เขาเห็นสุนัขสีดำตัวใหญ่เฝ้ามองเขาอยู่ แต่ทันใดนั้นรถเมล์อัศวินราตรีก็ปรากฏขึ้นและพาเขาไปส่งที่ตรอกไดแอกอน ระหว่างการเดินทาง แฮร์รี่เห็นข่าวในหนังสือพิมพ์ที่กล่าวถึงแบล็กว่าฆ่าคนถึงสิบสามคนด้วยคำสาปเดียว และเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนลอร์ดโวลเดอมอร์ แฮร์รี่ได้พบกับคอร์นีเลียส ฟัดจ์ รัฐมนตรีกระทรวงเวทมนตร์ ซึ่งเขาคิดว่าตัวเองคงต้องถูกไล่ออกจากฮอกวอตส์แน่ๆ เพราะทำผิดกฎหมาย แต่การณ์กลับเป็นว่าไม่มีใครสนใจเรื่องนั้นอีก ที่ร้านหม้อใหญ่รั่ว แฮร์รี่ได้ยินนายและนางวีสลีย์เถียงกันว่าน่าจะต้องเตือนเขาเกี่ยวกับแบล็กหรือไม่
เมื่อแฮร์รี่เริ่มเรียนชั้นปีที่สาม ที่ฮอกวอตส์มีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ เรื่องหนึ่งก็คือดูเหมือนว่าเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์มีวิชาเรียนทุกวิชา โดยบางวิชามีเวลาเรียนตรงกันด้วย นอกจากนี้ก็มีอาจารย์ใหม่มาสอนสองท่าน คือศาสตราจารย์รีมัส เจ.ลูปิน ซึ่งสอนวิชาป้องกันศาสตร์มืด และรูเบอัส แฮกริด สอนวิชาสัตว์วิเศษ การสอนของลูปินสนุกสนานมากในขณะที่ของแฮกริดออกจะน่าเบื่อ ในชั้นเรียนวันแรก เดรโก มัลฟอยเข้าไปแหย่ตัวฮิปโปกริฟ(สัตว์ครึ่งม้าครึ่งนก)ชื่อบัคบีกที่แฮกริดนำมาสอน จึงถูกบัคบีกทำร้าย ทำให้ลูเซียสพ่อของมัลฟอยผู้มีอิทธิพลอย่างสูงในกระทรวงและคณะผู้ปกครองของฮอกวอตส์ยื่นคำร้องให้ประหารบัคบีก
การที่แบล็กยังคงลอยนวลอยู่ ทำให้ทางกระทรวงส่งผู้คุมวิญญาณซึ่งเป็นผู้คุมนักโทษที่คุกอัซคาบัน มาคุ้มกันฮอกวอตส์ ผู้คุมวิญญาณทำให้ความสุขหมดสิ้นในทุกแห่งที่มันไปถึง ซึ่งส่งผลต่อแฮร์รี่เป็นอย่างมาก ตั้งแต่ที่เห็นมันเป็นครั้งแรกเมื่อตอนเปิดเทอมระหว่างนั่งรถไฟไปฮอกวอตส์ และมันทำให้เขาถึงกับหมดสติไป ศาสตราจารย์ลูปินจึงสอนคาถาผู้พิทักษ์ซึ่งสามารถไล่ผู้คุมวิญญาณไปได้ให้แก่แฮร์รี่ ในการแข่งขันควิดดิช มีผู้คุมวิญญาณมากลุ้มรุมแฮร์รี่ ทำให้เขาหมดสติและหล่นจากไม้กวาด ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ช่วยเขาไว้ได้ แต่ไม้กวาดนิมบัส 2000 หลุดเข้าไปใกล้ต้นวิลโลว์จอมหวดและโดนหวด
จนพังยับเยิน
ในช่วงเดียวกันนี้ เฮอร์ไมโอนีกับรอนก็มีเรื่องขัดแย้งกัน เพราะครุกแชงส์ แมวของเฮอร์ไมโอนีชอบไล่จับสแคบเบอร์หนูของรอน ช่วงคริสต์มาสมีคนส่งของขวัญเป็นไม้กวาดไฟร์โบลต์มาให้แฮร์รี่ เฮอร์ไมโอนีคิดว่าแบล็กเป็นคนส่งมาและอาจเป็นอันตราย จึงไปบอกศาสตราจารย์มักกอนนากัล ซึ่งยึดไม้กวาดไปตรวจสอบและส่งคืนให้แฮร์รี่ทันการแข่งขังควิดดิชครั้งต่อไปกับทีมราเวนคลอ แฮร์รี่กับรอนโกรธเฮอร์ไมโอนีมาก แต่เมื่อได้ไม้กวาดคืนก็พยายามขอคืนดี แต่สถานการณ์กลับเลวร้ายเมื่อรอนพบว่าสแคบเบอร์หายไป และมีเลือดกับขนแมวเปื้อนผ้าปูที่นอน แล้วเฮอร์ไมโอนีไม่เชื่อว่าแมวของเธอเป็นต้นเหตุ
ก่อนคริสต์มาสเล็กน้อย ฝาแฝดวีสลีย์มอบแผนที่ตัวกวนให้แฮร์รี่ มันเป็นแผนที่ของฮอกวอตส์ซึ่งแสดงชื่อของคนและสัตว์ทั้งหมดที่เคลื่อนที่อยู่ภายในฮอกวอตส์ แฮร์รี่ใช้แผนที่นี้หาทางไปฮอกส์มี้ดเพราะเขาไม่มีจดหมายอนุญาตจากผู้ปกครองทำให้ไม่สามารถไปพร้อมกับคนอื่นๆ ได้ ที่ฮอกส์มี้ด แฮร์รี่ได้ฟังการสนทนาเกี่ยวกับแบล็กที่รบกวนจิตใจเขาเป็นอย่างมาก เพราะปรากฏว่าแบล็กเป็นเพื่อนรักของพ่อแม่ของเขาและเป็นพ่อทูนหัวของเขา แต่กลับบอกที่ซ่อนครอบครัวพอตเตอร์จนลอร์ดโวลเดอมอร์ตามมาพบและเป็นผู้ฆ่าปีเตอร์ เพ็ตติกรูว์ เพื่อนอีกคนหนึ่ง รวมทั้งมักเกิ้ลที่เห็นเหตุการณ์อีกสิบสามคนด้วย
ระหว่างที่แฮร์รี่คุยกับศาสตราจารย์ทรีลอว์นีย์ เธอก็ตกอยู่ในห้วงภวังค์และทำนายว่าผู้รับใช้จอมมารจะกลับมาหาเขาในคืนนั้น ส่วนเฮอร์ไมโอนีก็พยายามช่วยแฮกริดเรื่องบัคบีก ซึ่งทำให้แฮร์รี่และรอนมาคืนดีด้วย การที่รอนเสนอตัวช่วยทำให้เธอดีใจจนเข้าไปกอดเขาและขอโทษเรื่องหนู เมื่อทั้งสามคนรู้ว่าบัคบีกต้องถูกสังหาร ก็พากันไปหาแฮกริดเพื่อปลอบใจ ระหว่างนั้นสแคบเบอร์โผล่ขึ้นมา และครุกแชงส์ไล่มันไปถึงต้นวิลโลว์จอมหวด ก็มีหมาใหญ่ก็กระโจนใส่รอนและลากเขากับสแคบเบอร์เข้าไปในโพรงแถวโคนต้นไม้ แฮร์รี่และเฮอร์ไมโอนีตามเข้าไปพบว่าเป็นอุโมงค์ไปโผล่ที่เพิงโหยหวน ที่นั่นเอง แฮร์รี่ได้เผชิญหน้ากับซิเรียส แบล็ก ซึ่งเป็นแอะนิเมจัส สามารถแปลงร่างเป็นสัตว์ได้ ลูปินซึ่งเห็นชื่อของทุกคนในแผนที่ตัวกวนก็ตามมาและตรงเข้าสวมกอดแบล็กเพื่อนเก่า พร้อมทั้งยอมรับที่เฮอร์ไมโอนีบอกว่าเขาเป็นมนุษย์หมาป่า และเล่าว่าพวกเขาสี่คน ลูปิน แบล็ก เพ็ตติกรูว์ และเจมส์ พอตเตอร์เป็นผู้ทำแผนที่ตัวกวนขึ้นมาเอง สองคนหลังก็เป็นแอะนิเมจัสเช่นกัน โดยแปลงร่างเป็นหนูและกวางตามลำดับ ลูปินและแบล็กอธิบายว่าสแคบเบอร์จริงๆ แล้วก็คือปีเตอร์ เพ็ตติกรูว์ ซึ่งรับใช้ลอร์ดโวลเดอมอร์และทรยศครอบครัวพอตเตอร์แล้วใส่ร้ายแบล็ก แฮร์รี่ยังสงสัยจนกระทั่งแบล็กและลูปินจัดการให้เพ็ตติกรูว์คืนร่างเป็นคนได้ แบล็กเล่าว่าเขาพบว่าเพ็ตติกรูว์ยังมีชีวิตอยู่จึงหนีออกจากคุกอัซคาบันเพื่อตามฆ่ามัน แบล็กและแฮร์รี่สนิทกันอย่างรวดเร็ว

ขณะที่ทุกคนมุ่งหน้ากลับปราสาท พระจันทร์เต็มดวงขึ้นมาพอดี ทำให้ลูปินต้องกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่า และแบล็กกลายร่างเป็นหมาใหญ่เพื่อช่วยยับยั้งไม่ให้ลูปินทำอันตรายคน เพ็ตติกรูว์ก็ฉวยโอกาสหลบหนีไป ลูปินหนีไปได้ ส่วนแบล็กบาดเจ็บสาหัส และพวกผู้คุมวิญญาณก็จะเข้ามาจัดการ แฮร์รี่และเฮอร์ไมโอนีเห็นบุคคลลึกลับผู้หนึ่งอยู่ไกลๆ เสกคาถาผู้พิทักษ์ออกมาเป็นกวาง ขับไล่พวกผู้คุมวิญญาณไปจนหมด แฮร์รี่เชื่อว่าคนคนนั้นต้องเป็นพ่อของเขาเพราะจำได้ว่าพ่อแปลงเป็นกวางได้ จากนั้นแบล็กก็ถูกจับกลับไปที่ปราสาทซึ่งพวกผู้คุมวิญญาณเตรียมจุมพิตดูดวิญญาณไว้รอเขาแล้ว
ดัมเบิลดอร์พูดเป็นปริศนาว่าสองชีวิตจะรอดในคืนนั้น และหมุนสามรอบน่าจะใช้ได้ เฮอร์ไมโอนีจึงเผยความลับกับแฮร์รี่ว่าเธอมีนาฬิกาย้อนเวลาซึ่งทำให้เข้าเรียนได้ทุกวิชา ทั้งสองพากันย้อนเวลากลับไปสามชั่วโมง เฝ้าดูพวกตัวเองจนถึงเวลาเหมาะจึงเข้าไปปล่อยบัคบีก และกลับไปที่วิลโลว์จอมหวด ขณะที่ผู้คุมวิญญาณกำลังจะจัดการแฮร์รี่และแบล็ก"อีกคู่หนึ่ง" แฮร์รี่ก็รอให้พ่อของเขาปรากฏตัว และแล้วเขาก็ตระหนักว่าบุคคลลึกลับผู้นั้นคือตัวเขาเอง จึงเสกคาถาผู้พิทักษ์ออกมาขับไล่พวกผู้คุมวิญญาณไป จากนั้นทั้งคู่ก็ขี่บัคบีกกลับไปปราสาท และให้แบล็กขี่บัคบีกหนีไป แล้วสองคนก็กลับมาที่เดิมทันเวลาพอดี แฮร์รี่ผิดหวังมากที่ไม่สามารถไปอยู่กับพ่อทูนหัวได้ แต่ก็รู้สึกดีที่รู้ว่าแบล็กปลอดภัย แถมยังถือโอกาสขู่ลุงเวอร์นอนได้ด้วยว่า หากแฮร์รี่ฟ้องว่าลุงใจร้ายกับเขา พ่อทูนหัวซึ่งเป็นฆาตกรโหดย่อมไม่ลังเลที่จะลงมือจัดการลุงเวอร์นอนอย่างแน่นอน

รายชื่อหนังสือ


แฮร์รี่ พอตเตอร์
กับห้องแห่งความลับ  
ห้องแห่งความลับ.jpg
ภาพปกหนังสือฉบับภาษาไทย
ผู้ประพันธ์เจ. เค. โรว์ลิ่ง
ชื่อต้นฉบับHarry Potter and the Chamber of Secrets
ผู้แปลสุมาลี บำรุงสุข
ผู้สร้างสรรค์ภาพประกอบFlag of the United States แมรี กรองด์เปร
ผู้สร้างสรรค์ปกFlag of the United Kingdom คลิฟฟ์ ไรท์
Flag of the United States แมรี กรองด์เปร
ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์
ผู้เผยแพร่สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์
วันเผยแพร่2 กรกฎาคม พ.ศ. 2541
จำนวนหน้าFlag of the United States 256 หน้า
Flag of the United States 341 หน้า
ธงชาติของไทย 408 หน้า
ฉบับก่อนหน้าแฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาถรรพ์
ฉบับถัดมาแฮร์รี่ พอตเตอร์ กับนักโทษแห่งอัซคาบัน






แฮร์รี่ พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ คือหนังสือเล่มที่สองของหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่แต่งโดย เจ. เค. โรว์ลิ่ง และแปลโดย สุมาลี (สุมาลี บำรุงสุข) ตีพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยโดยสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ ตีพิมพ์และวางจำหน่ายเป็นฉบับภาษาอังกฤษครั้งแรกในปี พ.ศ. 2541 และฉบับภาษาไทยในเดือนกันยายน พ.ศ. 2543
หนังสือเล่มนี้ดำเนินเรื่องต่อจากหนังสือเล่มแรกของชุด แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์

  


เนื้อหา                                                                 


 โครงเรื่องโดยรวม

บ้านโพรงกระต่ายและการเดินทางไปฮอกวอตส์

เรื่องเริ่มต้นด้วยการที่แฮร์รี่ถูกครอบครัวเดอร์สลีย์ปฏิบัติเหมือนบุคคลอันตราย การที่แฮร์รี่พบว่าไม่มีเพื่อนคนไหนเลย ไม่ว่าจะเป็นรอนหรือเฮอร์ไมโอนี่เขียนจดหมายมาหาเขา และนัดมื้อเย็นสำคัญของลุงเวอร์นอนกับลูกค้าของเขา ในขณะนั้นด๊อบบี้เอลฟ์ประจำบ้านก็ปรากฏตัวต่อให้แฮร์รี่ในขณะที่เขาซ่อนอยู่ในห้องนอนตามคำสั่งของลุงเวอร์นอน ด๊อบบี้มาเพื่อเตือนแฮร์รี่ไม่ให้กลับไปเรียนที่ฮอกวอตส์ในปีที่สองเพราะถ้าแฮร์รี่กลับไปที่โรงเรียน ชีวิตของเขาจะเป็นอันตราย แฮร์รี่เพิกเฉยต่อคำเตือนดังกล่าว และพบว่าด๊อบบี้นี่เองที่เป็นคนกักจดหมายของเพื่อนของเขา (รวมถึงของแฮกริด)ไว้และต่อมาทำให้แฮร์รี่ถูกขังไว้ในห้องนอนของเขาเอง เนื่องจากด๊อบบี้ทำลายมื้อเย็นของครอบครัวเดอร์สลีย์โดยทำให้ดูเหมือนว่าแฮร์รี่เป็นคนทำ
แต่หลังจากถูกขัง 3 วัน พี่น้องวีสลีย์ (เฟร็ด, จอร์จและรอน) ก็นำรถบินได้ของพ่อมาเพื่อช่วยแฮร์รี่ไปยังบ้านของครอบครัววีสลีย์ 'บ้านโพรงกระต่าย' แฮร์รี่ได้พบกับพ่อแม่ของรอน (นายอาเธอร์และนางมอลลี่ วีสลีย์) และจินนี่ น้องสาวคนเดียวของครอบครัวที่แอบชอบแฮร์รี่ และเขาก็อยู่กับครอบครัววีสลีย์จนกระทั่งพวกเขาไปซื้ออุปกรณ์การเรียนที่ตรอกไดแอกอน ซึ่งขณะที่อยู่ในร้านหนังสือตัวบรรจงและหยดหมึกนั้น กลุ่มของครอบครัววีสลีย์เผชิญหน้ากับพ่อและลูกชายมัลฟอย ลูเซียสและเดรโก มีปากเสียงกันและจบลงด้วยการชกต่อยกันกลางร้านหนังสือระหว่างนายวีสลีย์และนายมัลฟอย เนื่องจากนายมัลฟอยดูหมิ่นครอบครัวของเฮอร์ไมโอนี่และถูกจับแยกโดยแฮกริดที่บังเอิญเห็นเหตุการณ์
ในวันเปิดเทอม พี่น้องวีสลีย์และแฮร์รี่เดินทางไปยังสถานีรถไฟคิงส์ครอสโดยรถยนต์โดยมีนายวีสลีย์ไปส่ง เพื่อเข้าไปในชานชาลาเก้าเศษสามส่วนสี่ (กำแพงต้องมนตร์ที่กั้นระหว่างชานชาลาเก้าและชานชาลาสิบ) ครอบครัววีสลีย์เข้าไปได้ทั้งหมด ยกเว้นรอนและแฮร์รี่ที่ไม่สามารถเข้าไปได้ แต่กลับชนกำแพง ทั้งสองตัดสินใจนำรถของพ่อบินไปยังฮอกวอตส์ ที่ๆพวกเขาพุ่งเข้าชนต้นวิลโลว์จอมหวดและโดนหวดจนรถเกือบพังและไม้กายสิทธิ์ของรอนหัก
                                 

   อาจารย์สอนวิชาการป้องกันตัวจากศาสตร์มืดคนใหม่และเสียงกระซิบ

จากการกระทำดังกล่าวทำให้แฮร์รี่และรอนเกือบถูกไล่ออก และทำให้แม่ของรอนส่งจดหมายกัมปนาทมาต่อว่ารอนถึงฮอกวอตส์ แฮร์รี่และเพื่อนพบว่าอาจารย์ผู้มารับช่วงสอนวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืดต่อจากควีเรลล์ ทาสรับใช้ของโวลเดอมอร์คือพ่อมดนักเขียนชื่อดัง กิลเดอรอย ล็อกฮาร์ต ผู้มีนิสัยหลงรูปลักษณ์และชื่อเสียงของตน และให้ความสนใจกับบุคคลโด่งดังอย่างแฮร์รี่เป็นพิเศษ นอกจากนี้ แฮร์รี่ยังได้พบกับรุ่นน้องปีหนึ่งที่คลั่งไคล้เขาและชอบถ่ายรูปเขาเป็นประจำ คอลิน ครีฟวีย์ซึ่งสร้างความรำคาญใจให้แก่แฮร์รี่ผู้ไม่ชอบชื่อเสียง ชีวิตของแฮร์รี่ยังดำเนินต่อไปอย่างธรรมดาจนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังรับโทษกักบริเวณจากความผิดเมื่อต้นเทอมกับศาสตราจารย์ล็อกฮาร์ตอยู่ แฮร์รี่ได้ยินเสียงจากหลังกำแพงเกี่ยวกับการฆ่า แฮร์รี่ยังคงได้ยินเสียงปริศนาดังกล่าวจนวันฮัลโลวีน ในขณะที่แฮร์รี่และเพื่อนเดินกลับมาจากงานเลี้ยงของผี พวกเขาพบแมวของภารโรงตัวแข็งถูกจับห้อยลงมาจากคบเพลิง โดยมีข้อความเขียนไว้เหนือร่างแมวว่า "ห้องแห่งความลับเปิดออกแล้ว เหล่าศัตรูของทายาท
 จงระวัง!"

 ห้องแห่งความลับและสมุดบันทึกของ ท.ม. ริดเดิ้ล

เหตุดังกล่าวทำให้เกิดความตื่นตระหนกในเหล่าคณาจารย์และนักเรียนที่รู้ตำนานเกี่ยวกับห้องแห่งความลับเป็นอย่างมาก แฮร์รี่พบว่าห้องแห่งความลับคือตำนานที่เล่าว่าผู้ก่อตั้งที่สี่ของฮอกวอตส์ ซัลลาซาร์ สลิธีรินต้องการให้นักเรียนที่เกิดมาจากครอบครัวผู้วิเศษเท่านั้นเข้ามาเรียนที่ฮอกวอตส์ได้ ซึ่งขัดกับความคิดของผู้ก่อตั้งโรงเรียนคนอื่นๆ จึงทำให้สลิธีรินออกจากโรงเรียนไป แต่ตำนานกล่าวไว้ว่า ก่อนที่เขาจะจากไป ได้สร้างห้องแห่งความลับซ่อนไว้ในตัวปราสาทเพื่อรอว่าสักวันหนึ่งที่จะมีทายาทแห่งสลิธีรินที่แท้จริงเปิดห้องแห่งความลับออกมา และปลดปล่อยปีศาจร้ายที่จะกำจัดผู้วิเศษซึ่งเกิดจากมักเกิ้ล (บุคคลที่ไม่มีอำนาจเวทมนตร์)ให้หมดไปจากโรงเรียน แฮร์รี่ รอนและเฮอร์ไมโอนี่สงสัยมัลฟอยว่าอาจเป็นทายาทแห่งสลิธีริน พวกเขาจึงวางแผนจะปรุงน้ำยาสรรพรสออกมาเพื่อแปลงตัวเข้าไปหามัลฟอย และขุดคุ้ยข้อมูลเรื่องดังกล่าว ในขณะเดียวกัน ก็มีคนถูกโจมตีมากขึ้นอีกได้แก่คอลิน ครีฟวีย์ และนิกหัวเกือบขาด ผีประจำบ้านกริฟฟินดอร์ แต่ต่อมา หลังจากที่แฮร์รี่พูดภาษาพาร์เซลกับงูที่มัลฟอยเสกขึ้นมาในชมรมการต่อสู้ตัวต่อตัว เขาก็ถูกสงสัยว่าอาจจะเป็นทายาทสลิธีริน ทำให้ถูกรังเกียจและหวาดกลัวจากบรรดาผู้ที่เชื่อเช่นนั้น หลังจากนั้นไม่นานนักเรียนบ้านฮัฟเฟิลพัฟ จัสติน ฟินช์-เฟล็ทชลีย์ก็ถูกโจมตีด้วยอีกคน ทำให้ความสงสัยว่าแฮร์รี่อาจจะเป็นทายาทเพิ่มยิ่งขึ้นไปอีก
ในที่สุดน้ำยาสรรพรสก็พร้อมหลังจากผ่านการเคี่ยวมานานในห้องน้ำหญิงชำรุดที่มีผีเมอร์เทิลจอมคร่ำครวญอาศัยอยู่ แฮร์รี่แปลงเป็นกอยล์ รอนแปลงเป็นแครบ และเฮอร์ไมโอนี่ (โดยไม่ได้ตั้งใจ) แปลงเป็นแมวของมิลลิเซนต์ บัลสโตรด (เนื่องจากน้ำยาสรรพรสแปลงรูปมนุษย์เป็นสัตว์ไม่ได้ ทำให้เฮอร์ไมโอนี่ต้องได้รับการรักษา) จึงมีเพียงแฮร์รี่และรอนเท่านั้นที่ได้เข้าไปหามัลฟอย แต่มัลฟอยสารภาพกับแฮร์รี่และรอนในร่างของกอยล์และแครบว่าเขาไม่ได้ทำ สร้างความประหลาดใจให้แก่ทั้งสองคนพอสมควร และเมื่อเฮอร์ไมโอนี่ออกมาจากห้องพยาบาลหลังจากผ่านการรักษาแล้ว แฮร์รี่ก็เผอิญพบกับสมุดบันทึกเปียกน้ำในห้องน้ำหญิงชำรุด แฮร์รีพบว่าสมุดบันทึกเล่มนี้เป็นของ ทอม ริดเดิ้ล นักเรียนที่ฮอกวอตส์เมื่อ 50 ปีที่แล้วซึ่งบันทึกความจำเอาไว้ในสมุดบันทึกของตน เขาพาแฮร์รี่ไปดูเหตุการณ์เมื่อ 50 ปีก่อนเมื่อห้องแห่งความลับถูกเปิดเป็นครั้งแรก ริดเดิ้ลแสดงให้แฮร์รี่ดูว่าผู้กระทำผิดเมื่อ 50 ปีที่แล้วคือแฮกริด ผู้ดูแลสัตว์ของฮอกวอตส์ในปัจจุบันนี่เอง แฮร์รี่และเพื่อนพบว่าแฮกริดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ในขณะเดียวกันแฮร์รี่ยังคงได้ยินเสียงปริศนานั้นอยู่ต่อไป แต่หลังจากนั้นไม่นาน มีการโจมตีอีกครั้งติดต่อกันสองรายรวดได้แก่ เพเนโลพี เคลียร์วอเทอร์ พรีเฟ็คบ้านเรเวนคลอ และเฮอร์ไมโอนี่เอง นี่ทำให้แฮกริดถูกจับกุมตัวไปยังคุกอัซคาบัน สถานจองจำของพ่อมดแม่มดที่ทำผิดร้ายแรง รวมถึงดัมเบิลดอร์ถูกคณะกรรมการสั่งพักงานจากคำขู่เข็ญของนายมัลฟอย ทำให้แฮร์รี่และรอนยิ่งต้องรีบค้นหาทายาทแห่งสลิธีรินให้เร็วยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งคู่ทำตามคำใบ้ของแฮกกริดไปเข้าไปในป่าต้องห้าม ที่ที่พวกเขาพบกับแมงมุมยักษ์ชื่อว่าอาราก็อก ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงของแฮกริดมาตั้งแต่เด็ก และแมงมุมตัวนี้เองที่เคยถูกกล่าวหาว่าเป็นปีศาจในห้องแห่งความลับ แมงมุมยักษ์กล่าวกับทั้งสองคนว่าแฮกริดไม่ใช่คนเปิดห้องแห่งความลับ และมันก็ไม่ได้เป็นสัตว์ร้ายดังตำนาน แต่สัตว์ร้ายนั้นมีอยู่จริงและเป็นสัตว์ที่พวกแมงมุมกลัวมาก จนต้องหนีออกมาอยู่นอกปราสาท เมื่อทราบแล้วแฮร์รี่และรอนก็ถูกบรรดาลูกสมุนแมงมุมของอาราก็อกพยายามจับตัวเป็นอาหาร แต่โชคดีที่รถฟอร์ดแองเกลียบินได้มาช่วยพวกเขาทันเวลาทำให้หนีออกมาจากรังแมงมุมได้อย่างปลอดภัย
หลังจากนั้นไม่นาน ด้วยความช่วยเหลือจากโน้ตที่เฮอร์ไมโอนี่ทิ้งไว้ แฮร์รี่และรอนจึงไขปริศนาได้ว่าแท้ที่จริงแล้วสัตว์ร้ายแห่งห้องแห่งความลับคืองูยักษ์บาซิลิสก์ ซึ่งมีดวงตาอานุภาพสังหารที่เพียงสบตามันก็จะเสียชีวิตในทันที โชคดีที่แต่ละคนดูเหมือนจะสบตางูทางอ้อมทั้งสิ้น (ยกเว้นผีนิคหัวเกือบขาด ที่สบตากับงูตรงๆ แต่เขา'ไม่สามารถตายได้อีก') ทันทีที่ทราบทั้งสองก็พบว่าน้องสาวของรอน จินนี่จะถูกจับตัวไปยังห้องแห่งความลับ โดยมีข้อความเป็นเลือดทิ้งไว้ว่า "โครงกระดูกของเธอจะนอนอยู่ในห้องชั่วนิรันดร์" เมื่อทราบพวกเขาจึงไปตามศาสตราจารย์ล็อกฮาร์ต (ที่กำลังจะหนีเนื่องจากได้รับมอบหมายให้ไปหาตัวจินนี่) ล็อกฮาร์ตปฏิเสธและถูกแฮร์รี่และรอนบังคับให้ลงไปในท่ออุโมงค์ของห้องแห่งความลับที่ซ่อนอยู่ใต้ห้องน้ำหญิงชำรุด ที่ที่ล็อกฮาร์ตชิงไม้กายสิทธิ์มาจากรอน และเสกคาถาลบความจำใส่แฮร์รี่และรอนซึ่งทราบแล้วว่า ล็อกฮาร์ตอาศัยประสบการณ์ของคนอื่นไปเขียนหนังสือแล้วเสกคาถาลบความจำคนคนนั้น แต่ไม้กายสิทธิ์ของรอนที่เสียหายตั้งแต่ต้นปีสะท้อนคาถาลบความจำเข้าสู่ตัวล็อกฮาร์ต ทำให้เขาความจำเสื่อมเสียเอง รอนอยู่เฝ้าล็อกฮาร์ตที่ความจำเสื่อมไปแล้ว ส่วนแฮร์รี่เข้าไปในห้องแห่งความลับคนเดียว เขาพบว่าจินนี่กำลังจะตาย และพบทอม ริดเดิ้ลที่เคยอยู่แต่ในความทรงจำในสมุดบันทึกเมื่อ 50 ปีก่อน บัดนี้ปรากฏตัวให้เห็นเป็นรูปร่างภายนอกเกือบเด่นชัดแล้ว ริดเดิ้ลบอกกับแฮร์รี่ว่าจินนี่กำลังถ่ายชีวิตและจิตวิญญาณให้กับเขา และทำให้เขาแข็งแรงขึ้น ในที่สุดเขาเปิดเผยตัวเองว่าเขาเป็นความทรงจำเมื่อ 50 ปีที่แล้วของโวลเดอมอร์ในวัยสิบหกปี ผู้ซึ่งเป็นทายาทที่แท้จริงของซาลาซาร์ สลิธีริน จากนั้นริดเดิ้ลก็สั่งให้งูยักษ์บาสิลิสก์ลงมือสังหารแฮร์รี่ แต่เมื่อแฮร์รี่กล่าวแสดงความภักดีต่อดัมเบิลดอร์ ก็ได้รับความช่วยเหลือจากฟอกส์ นกฟีนิกซ์ของดัมเบิลดอร์ที่นำหมวกคัดสรรซึ่งซ่อนดาบของก็อดดริก กริฟฟินดอร์มาให้ และฟอกส์ช่วยแฮร์รี่โดยการจิกลงไปยังตาพิฆาตของบาสิลิสก์ ทำให้ตาของงูยักษ์ไม่เป็นอันตรายต่อแฮร์รี่อีกต่อไป แฮร์รี่สามารถสังหารบาสิลิสก์ได้ แต่ก็ต้องแลกกับการถูกเขี้ยวพิษของงูฝังเข้าไปเต็มๆ ทว่าฟอกส์ก็ช่วยแฮร์รี่ได้อีกครั้งด้วยการหลั่งหยาดน้ำตาของนกฟีนิกซ์ซึ่งมีอำนาจสมานแผล เมื่อแฮร์รี่กลับมาเป็นปกติแล้วก็สามารถกำจัดริดเดิ้ลโดยทำลายสมุดบันทึกด้วยเขี้ยวพิษของงู และคืนชีวิตและวิญญาณให้แก่จินนี่อีกครั้ง
นักเรียนทุกคนที่ถูกทำร้ายกลับคืนสู่สภาพปกติ แฮร์รี่พบว่าลูเซียส มัลฟอยนั่นเองเป็นผู้ยัดสมุดบันทึกให้กับจินนี่ขณะที่วิวาทกันกลางร้านตัวบรรจงและหยดหมึก แต่ไม่สามารถทำอะไรนายมัลฟอยได้ เนื่องจากไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าเขาทำเช่นนั้น แฮร์รี่สังเกตเห็นด๊อบบี้ที่มากับเจ้านายมัลฟอย จึงหาทางช่วยโดยซ่อนถุงเท้าไว้ในสมุดบันทึกของริดเดิ้ลแล้วนำไปคืนให้นายมัลฟอย นายมัลฟอยยื่นสมุดบันทึกให้ด๊อบบี้ แฮร์รี่พยายามให้ด๊อบบี้เปิดสมุดบันทึกของริดเดิ้ลเพื่อจะได้เห็นถุงเท้า ซึ่งการกระทำเช่นนั้น(การที่เจ้านายมอบเสื้อผ้าให้เอลฟ์ประจำบ้านของตนเอง)คือการปล่อยด๊อบบี้ให้เป็นไท ด๊อบบี้ผู้เป็นไทแล้วสำนึกในบุญคุณของแฮร์รี่อย่างสูง ล็อกฮาร์ตผู้ความจำเสื่อมถาวรถูกส่งตัวเข้าไปบำบัดในโรงพยาบาลวิเศษเซนต์มังโกเพื่อผู้ป่วยและบาดเจ็บ และปีที่สองในฮอกวอตส์ของแฮร์รี่ก็จบลงอย่างมีความสุข.

    
                         

             

รายชื่อหนังสือ

 เเฮรี่พ็อตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์

        


แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ เป็นหนังสือเล่มแรกในนวนิยายเยาวชน 7 เล่ม ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่เขียนโดย เจ. เค. โรว์ลิ่ง ตีพิมพ์และวางจำหน่ายเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2540 (1997) โดยสำนักพิมพ์บลูมส์บิวรี่ ส่วนในฉบับภาษาไทยแปลโดย สุมาลี (สุมาลี บำรุงสุข) และตีพิมพ์และจัดจำหน่ายโดยสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ถือเป็นหนังสือที่เป็นที่นิยมที่สุดในชุดวรรณกรรมแฮร์รี่ พอตเตอร์ โดยมียอดขายถึง 107 ล้านเล่มทั่วโลก นอกจากนี้แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ ยังสร้างเป็นภาพยนตร์อีกด้วย โดยมีวอร์เนอร์ บราเธอร์สเป็นผู้ถือสิทธิ์ในการสร้าง
แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ เป็นชื่อภาษาไทยที่แปลมาจากภาษาอังกฤษนั่นคือ Harry Potter and the Philosopher's Stone โดยชื่อดังกล่าวนำไปใช้เป็นชื่อภาษาอังกฤษให้กับวรรณกรรมแปลอีกหลายๆ ภาษา รวมถึงของสำนักพิมพ์ที่ตีพิมพ์ฉบับภาษาอังกฤษด้วยคือสำนักพิมพ์บลูมส์บิวรี่ ซึ่งรับผิดชอบการตีพิมพ์และจัดจำหน่ายในสหราชอาณาจักรเสียเป็นส่วนใหญ่ และสำนักพิมพ์เรนโคสท์ซึ่งรับผิดชอบในประเทศแคนาดา กระนั้นก็มีข้อยกเว้นอยู่บ้าง โดยสำนักพิมพ์สกอลาสติก ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในการตีพิมพ์และวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา ได้เปลี่ยนชื่อหนังสือดังเดิมเป็น Harry Potter and the Sorcerer's Stone โดยเปลี่ยนคำว่า Philosopher (ที่แปลว่า "นักปราชญ์") แล้วแทนด้วยคำว่า Sorcerer (ที่แปลว่า "ผู้วิเศษ") เนื่องจากคำว่า Philosopher นั้นมีความหมายและการตีความที่แตกต่างกันระหว่างภาษาอังกฤษแบบอเมริกันกับภาษาอังกฤษแบบบริเตน นอกจากนี้ ทางสำนักพิมพ์สกอลาสติกยังทำการเปลี่ยนสำนวนและคำต่างๆ ในหนังสือหลายๆ ตอนให้มีลักษณะเป็นภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน การทำเช่นนี้ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในผู้อ่านชาวอเมริกันบางส่วนเนื่องจากทำให้เสียอรรถรสในการอ่าน แม้จะไม่ส่งผลต่อโครงเรื่องก็ตาม
หนังสือนำเสนอเรื่องราวของแฮร์รี่ พอตเตอร์ เด็กชายกำพร้าผู้มีรอยแผลเป็นรูปสายฟ้าอยู่กลางหน้าผาก และอาศัยอยู่กับลุงและป้าซึ่งมักจะหาเรื่องแฮร์รี่อยู่เสมอ และลูกพี่ลูกน้องที่กลั่นแกล้งเขาอยู่เป็นประจำ จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อแฮร์รี่อายุได้ 11 ปี แฮร์รี่จึงทราบว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาๆ แต่เป็นพ่อมดที่โด่งดังคนหนึ่งของโลก และพ่อแม่ของเขาไม่ได้เสียชีวิตในอุบัติเหตุทางรถยนต์ดังที่ป้าเพตทูเนียของเขาว่าไว้ แต่ถูกฆาตกรรมในขณะที่กำลังปกป้องแฮร์รี่ โดยพ่อมดที่ชั่วร้ายที่สุดแห่งยุค ลอร์ดโวลเดอมอร์ แต่พลังอำนาจและร่างกายของลอร์ดโวลเดอมอร์กลับสูญสิ้นเมื่อเขาพยายามสังหารแฮร์รี่ แฮร์รี่จึงต้องค้นหาอดีตเกี่ยวกับพ่อแม่ของเขา และเข้าเรียนในโรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ ที่ที่การผจญภัยของแฮร์รี่ และผองเพื่อนเริ่มต้นขึ้น



  

เนื้อหา

 โครงเรื่องโดยรวม

  ฮอกวอตส์

แฮร์รี่ พอตเตอร์อยู่กับลุงกับป้าและลูกพี่ลูกน้องมาตลอดเป็นเวลา 10 ปี จนวันหนึ่ง เขาได้รับจดหมายจากโรงเรียนแห่งหนึ่ง ลุงกับป้ารู้เรื่องว่าจดหมายนั้นคืออะไรจึงพยายามไม่ให้แฮร์รี่ ได้อ่านจดหมายทุกวิถีทาง วันที่เด็กชายมีอายุครบสิบเอ็ดปี เขาได้รับจดหมายจากโรงเรียนพ่อมดแม่มด และ เวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ ให้ไปเข้าชั้นเรียน แฮกริด ภารโรง และ ผู้ดูแลสัตว์ของฮอกวอตส์เป็นคนมารับ แฮร์รี่ ไปซื้ออุปกรณ์การเรียนที่ตรอกไดแอกอน ย่านการจับจ่ายของพ่อมดแม่มด น่าแปลกที่ใคร ๆ ก็รู้จักแฮร์รี่! ในที่สุดแฮกริดก็เปิดเผยให้เด็กชายรู้ว่า พ่อแม่ ของเขาไม่ได้ถูกรถชนตายอย่างที่ลุงป้าบอก และ แผลเป็นรูปสายฟ้าบนหน้าผากของเขามีที่มาอย่างไร แฮกริดได้ให้ข้อมูลเบื้องต้นสำหรับชีวิตพ่อมดอีกหลายอย่าง ก่อนจะพาเขาไปส่งที่ชานชาลาที่เก้าเศษสามส่วนสี่ สถานีรถไฟคิงส์ครอส และบนรถไฟเขาก็ได้พบกับรอนและเฮอร์ไมโอนี่ เมื่อถึงปราสาทเขาก็ได้รับการคัดสรรให้ไปอยู่บ้านกริฟฟินดอร์

        

   ศิลาอาถรรพ์

และเขาก็ได้พบกับอาจารย์วิชาปรุงยานั่นคือ ศาสตราจารย์ สเนป ซึ่งดูจะไม่ชอบเขาเอาเสียเลย และในวันฮาโลวีนก็ได้มีคนปล่อยโทรลล์ออกมาเพ่นพ่านเขาสามารถจัดการโทรลล์ หลังจากนั้นเขาได้พบกับหมาสามหัวที่เฝ้าประตูกลอยู่ พวกเขาจึงสงสัยว่าสเนปพยายามเอาอะไรบางอย่างจากข้างในประตูกล หลังจากนั้นแฮกริดคนดูแลสัตว์ก็ได้เผลอหลุดปากเรื่องของนิโคลัส แฟรมเมล พวกเขาจึงค้นหาจนพบว่า นิโคลัส แฟรมเมลเป็นผู้ประดิษฐ์ศิลาอาถรรพ์ ซึ่งศิลานี้ทำให้ผู้ที่มีครอบครองนั้นเป็นอมตะ
คืนหนึ่งพวกเขาได้นำมังกรที่แฮกริดนำมาเลี้ยงไปให้ชาลีพี่ชายของรอนให้นำมันไปเลี้ยงดู แต่ก็ต้องถูกจับได้และโดนทำโทษให้ไปกักบริเวณที่ป่าต้องห้ามและพบกับใครคนหนึ่งซึ่งกำลังกินเลือดของยูนิคอนที่ทำให้มีชีวิตได้แม้ยามใกล้ตายและรู้ว่าคนผู้นั้นคือ โวลเดอมอร์ คนที่ฆ่าพ่อแม่แฮร์รี่ และคิดว่าสเนปต้องการเอาศิลาไปให้โวลเดอมอร์


                 

   ผ่านพ้นประตูกล

และในคืนหนึ่ง พวกเขาได้ไปที่ประตูกลและผ่านด่านกับดักมาร กุญแจบินได้ หมากรุกยักษ์ แต่ในด่านหมารุกยักษ์ รอนบาดเจ็บ จึงเหลือแฮร์รี่กับเฮอร์ไมโอนี่ทั้งสองผ่านด่านโทรลล์ และเมื่อมาถึงด่านยาพิษแฮร์รี่ดื่มยาที่ต้องไปต่อข้างหน้า แต่เฮอร์ไมโอนี่ดื่มยาที่ต้องกลับไป จึงเหลือแฮร์รี่คนเดียวที่ต้องป้องกันศิลาอาถรรพ์ และพบกับศาสตราจารย์ครีเรลล์ ที่เล่าให้แฮร์รี่ฟังว่าตนเป็นคนปล่อยโทรลล์ และพยายามฆ่าแฮร์รี่มาตลอด โดยเขาต้องการศิลาอาถรรพ์ และเล่าให้ฟังว่าสเนปเป็นผู้บริสุทธิ์มาตลอด และพบกับกระจกเงาแห่งแอริเซดและพบโวลเดอมอร์ที่อยู่ข้างหลังหัวของครีเรลล์ ต่อจากนั้นเขาก็พบศิลาอาถรรพ์อยู่ในกระเป๋ากางเกงของเขา โวลเดอมอร์จึงขอให้แฮร์รี่มอบศิลาให้ แต่แฮร์รี่ไม่ยอม ศาสตราจารย์ครีเรลล์จึงเข้ามาปะทะกับเขา แต่หลังจากนั้นแฮร์รี่ก็ได้สลบไป
เขาตื่นขึ้นมาจึงพบว่าเขาอยู่ในห้องพยาบาล และพบกับดัมเบิลดอร์ซึ่งเล่าให้ฟังว่า หลังจากที่แฮร์รี่สลบไปเขาได้ไปช่วยและศิลาอาถรรพ์ถูกทำลาย ศาสตราจารย์ครีเรลล์ตาย และโวลเดอมอร์สูญสลายไป ในขณะเดียวกันนิโคลัส แฟรมเมลก็ตายไปด้วยเช่นกัน
ต่อมาในวันปิดภาคเรียนบ้านกริฟฟินดอร์ได้ถ้วยบ้านดีเด่น ซึ่งคะแนนได้มาจากที่พวกเขาช่วยกันปกป้องศิลาอาถรรพ์ไว้ได้

        





       

วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ประวัติการประพันธ์ การพิมพ์ และการแปล



นิทานของบีเดิลยอดกวีฉบับลายมือประดับด้วยเงินและอัญมณี

การตีพิมพ์
ในปี พ.ศ. 2539 โรว์ลิ่งเขียนต้นฉบับของหนังสือเล่มแรกเสร็จ และหาคนที่จะเป็นตัวแทนของเธอ ตัวแทนคนที่สองที่เธอได้ติดต่อ คริสโตเฟอร์ ลิตเติล ได้ตกลงที่จะเป็นตัวแทนของโรว์ลิ่งและส่งต้นฉบับไปที่สำนักพิมพ์บลูมสบิวรี หลังจากที่สิบสองสำนักพิมพ์ก่อนหน้านี้ได้ปฏิเสธ บลูมสบิวรีเสนอค่าตอบแทนล่วงหน้าเป็นเงิน 2,500 ปอนด์สเตอร์ลิง สำหรับการตีพิมพ์ Harry Potter and the Philosopher's Stone[11] แม้ว่าโรว์ลิ่งจะไม่ได้วางกลุ่มอายุเป้าหมายเมื่อครั้งที่เธอเริ่มเขียน สำนักพิมพ์ได้วางกลุ่มอายุเป้าหมายเริ่มแรกไว้ที่ 9 ถึง 11 ปี[12] สำนักพิมพ์ได้ขอให้โรว์ลิ่งเลือกนามปากกาที่ไม่บ่งบอกเพศ เนื่องจากกลัวว่าเด็กผู้ชายในวัยนี้จะไม่สนใจหากทราบว่าผู้แต่งนั้นเป็นผู้หญิง โรว์ลิ่งเลือกใช้ชื่อย่อว่า "เจ. เค. โรว์ลิ่ง" จากโจแอน แคทลีน โดยแคทลีนนั้นเป็นชื่อของย่าของเธอ[13][14]
หนังสือเล่มแรกได้รับการตีพิมพ์ในสหราชอาณาจักรโดยบลูมสบิวรีในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2540 และหลังจากนั้นในสหรัฐอเมริกาในเดือนกันยายน พ.ศ. 2541 โดยสำนักพิมพ์สกอลาสติก สกอลาสติกต้องการให้เปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น Harry Potter and the Sorcerer's Stone เนื่องจากเกรงว่าผู้อ่านชาวอเมริกันอาจไม่คุ้นชินกับคำว่า philosopher (นักปราชญ์) หรือแก่นเรื่องเกี่ยวกับเวทมนตร์หรือการเล่นแร่แปรธาตุ ที่ philosopher's stone (ศิลานักปราชญ์ ฉบับแปลไทยใช้คำว่าศิลาอาถรรพ์) มีความเกี่ยวข้องอยู่ โรว์ลิ่งออกหนังสือเล่มต่อ ๆ มาตามมาในเวลาไล่เลี่ยกัน เรียงตามลำดับตั้งแต่ พ.ศ. 2540 - 2550 ทำให้รักษาความสนใจของผู้อ่านและสร้างกลุ่มผู้อ่านที่ภักดีขึ้นได้[15]

   งานประพันธ์ต่อเนื่อง

หลังจากหนังสือเล่มสุดท้ายของหนังสือชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ที่มีชื่อว่า แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต วางแผงและออกจำหน่าย โดยจบเรื่องราวของพ่อมดแฮร์รี่ พอตเตอร์ลง ไม่นานนักก็มีกระแสเรียกร้องให้ เจ. เค. โรว์ลิ่ง เขียนหนังสือเล่มที่แปดออกมาอีก โรว์ลิ่งกล่าวว่า เธอไม่ได้ปฏิเสธว่าจะไม่มีหนังสือเล่มที่แปด แต่ตอนนี้เธอยังไม่ได้เขียน ซึ่งถ้าเธอจะเขียน อาจจะหลังจากนี้อีกสักสิบปีแล้วค่อยว่ากันอีกที
โรว์ลิ่งประกาศว่าเธอจะเขียนหนังสือนิยายเล่มใหม่ พร้อมกับบอกว่ากำลังเขียนหนังสือสารานุกรมเกี่ยวกับแฮร์รี่ พอตเตอร์ ซึ่งมีเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับแฮร์รี่ พอตเตอร์ที่ไม่ได้เขียนเอาไว้ในหนังสือมาก่อน เธอจะนำมาบอกเล่าให้ผู้อ่านได้อ่านกันในหนังสือสารานุกรมนี้ แต่คงต้องใช้เวลาอีกหน่อย หลังจากนั้นไม่ถึงเดือน สำนักพิมพ์ในสหรัฐอเมริกา ได้ตีพิมพ์หนังสือสารานุกรมไปก่อนหน้าที่เจ. เค. โรว์ลิ่งจะเขียนเสร็จ จึงเกิดการฟ้องร้องต่อศาลที่สหรัฐอเมริกา โรว์ลิ่งได้ฟ้องร้องสำนักพิมพ์ที่จัดพิมพ์และจำหน่ายสารานุกรมนั้นโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเธอและเป็นการคัดลอกข้อมูลของเธอซึ่งเธอกำลังจะเขียนมันในสารานุกรมแฮร์รี่ พอตเตอร์ของจริง ในการฟ้องร้องครั้งนั้นศาลได้ตัดสินให้เธอชนะคดีในที่สุด[16]
หลังจากการฟ้องร้องจบลง เธอได้เขียนนิทานเรื่องหนึ่งขึ้นด้วยลายมือของเธอเอง ใช้ชื่อว่า นิทานของบีเดิลยอดกวี อันเป็นนิทานที่ถูกอ้างอิงอยู่ในเล่มที่เจ็ด นิทานเรื่องนี้ โรว์ลิ่งเขียนขึ้นมาเจ็ดเล่มในโลกเท่านั้น เธอมอบให้กับบุคคลที่ได้ทำให้เธอประสบความสำเร็จรวม 6 เล่ม ส่วนเล่มสุดท้ายนำไปประมูล ได้เงินมาราคาหลายล้านปอนด์[17]และนำเงินมอบให้แก่การกุศล ต่อมามีเด็กสาวชาวออสเตรเลียคนหนึ่งได้แต่งคำกลอนประกวดและชนะเลิศโดยเธอได้อ่านเนื้อหาในหนังสือเล่มนั้นทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตามสำนักพิมพ์ของอังกฤษก็ได้ตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้ออกวางจำหน่ายในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ส่วนในประเทศไทยสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ได้ตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้เป็นฉบับภาษาไทย[18] วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2551 โดยมีคุณสุมาลี บำรุงสุขเป็นผู้แปล
หลังจากเจ. เค. โรว์ลิ่งเขียนหนังสือนิทานเล่มนี้แล้ว เธอได้เขียนเรื่องราวสั้นๆ จำนวน 800 คำ ลงในกระดาษ เป็นเรื่องราวของเจมส์ พอตเตอร์กับ ซีเรียส แบล็ก ปะทะกับตำรวจมักเกิ้ล เป็นเรื่องราวก่อนแฮร์รี่จะเกิด 3 ปี เรื่องสั้นนี้ยังไม่ได้ตั้งชื่อ แต่เรียกกันอย่างย่อว่า พรีเควลแฮร์รี่ พอตเตอร์

                 

แก่นของเรื่องและแรงบันดาลใจ

      เจ. เค. โรว์ลิ่ง กล่าวว่ามีแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์นับไม่ถ้วน ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่เธออ่านหนังสือมากมายตั้งแต่ในวัยเด็กจนถึงวัยทำงาน หนังสือพวกนั้นทำให้ความใฝ่ฝันที่เธอจะเป็นนักเขียนเพิ่มมากขึ้น โรว์ลิ่งมีความสุขที่จะได้อ่าน มีความสุขที่หนังสือ วรรณกรรม วรรณคดี นิยายทั้งหมดทั้งมวลที่เธออ่านคอยเพิ่มพูนความสุขมาให้ โรว์ลิ่งมักจะอยู่กับหนังสือเป็นเวลานาน ๆ เธอไม่เคยเบื่อการอ่านเลย ส่วนที่สองเกิดจากคนรอบข้างเธอตั้งแต่วัยเด็ก เช่น เพื่อนบ้านที่คอยดูแลเธอ เป็นต้น โรว์ลิ่งล้วนรักคนพวกนั้น เธอมักนำชื่อต่าง ๆ ที่เธอเกี่ยวข้องมาลงเขียนในหนังสือเสมอ
ความคิดเกี่ยวกับแฮร์รี่ พอตเตอร์เข้ามาในหัวของเจ. เค. โรว์ลิ่ง ขณะที่เธอนั่งรถไฟจากแมนเชสเตอร์มายังลอนดอนในปี พ.ศ. 2533 ในวันที่โรว์ลิ่งขึ้นรถไฟไปหาแฟนหนุ่มที่แมนเชสเตอร์ ทางเหนือของประเทศอังกฤษ ในขบวนรถไฟของสถานีคิงส์ครอสที่จะเดินทางกลับไปที่ลอนดอน หลังจากที่เธอนั่งลงที่ตู้ผู้โดยสาร ในตอนนั้นโรว์ลิ่งคิดที่จะเขียนนิยายอยู่พอดี เธอคิดถึงหนังสือต่าง ๆ ที่เธอเคยอ่าน เธอมักพูดอยู่เสมอว่าจะเขียนหนังสือที่ได้รับการตีพิมพ์ หนังสือที่เธอชอบคือเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ และ ตำนานแห่งนาร์เนีย ซึ่งเนื้อหาของในหนังสือสองเล่มนี้ก็เป็นแรงบันดาลใจให้กับแฮร์รี่ พอตเตอร์เช่นกัน
เธอคิดถึงตัวเอกของนิยายของเธอ ส่วนของรูปร่างหน้าตาเธอยังไม่สามารถคิดได้ จนในขณะที่เธอมองวิวนอกหน้าต่างอยู่นั้นเธอก็เกิดความคิดขึ้น ภาพของเด็กชายตาสีเขียว ใส่แว่นตา และมีรอยแผลเป็นรูปสายฟ้าอยู่ตรงหน้าผากก็เข้ามาในใจของเธออย่างรวดเร็ว โรว์ลิ่งกล่าวในภายหลังว่า
Cquote1.svg
ฉันเขียนมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อายุหกขวบ แต่ฉันไม่เคยตื่นเต้นกับความคิดไหนมากขนาดนี้มาก่อน [...] ฉันเพียงแค่นั่งและก็คิด เป็นเวลาถึง 4 ชั่วโมง และรายละเอียดทั้งหมดก็ผุดขึ้นมาในหัวของฉัน และเด็กผู้ชายใส่แว่นผมดำผอมติดกระดูกที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นพ่อมดคนนี้ก็กลายเป็นความจริงสำหรับฉันขึ้นเรื่อย ๆ[7]
Cquote2.svg


โรว์ลิ่งเดินทางบนรถไฟ 4 ชั่วโมง เธอนั่งคิดเรื่องราวทั้งหมดโดยไม่ได้จดเอาไว้ (เธอไม่มีกระดาษ) โรว์ลิ่งตั้งชื่อเด็กชายว่า "แฮร์รี่" ซึ่งเป็นชื่อที่เธอโปรดปรานมากที่สุด และตั้งนามสกุลว่า "พอตเตอร์" ซึ่งเป็นชื่อของครอบครัวเพื่อนบ้านสมัยเด็ก เธอตั้งวันเกิดของแฮร์รี่ให้เป็นวันที่ 31 กรกฎาคม เหมือนกับวันเกิดของตัวเอง โรว์ลิ่งคิดถึงฉากในเรื่อง โรงเรียนของเด็กชายเป็นโรงเรียนสอนวิชาเวทมนตร์ให้แก่พ่อมดและแม่มดที่ยังเป็นเด็ก โดยให้โรงเรียนอยู่ทางเหนือของสกอตแลนด์ เพราะเธอคุ้นเคยกับปราสาทเก่าแก่มากมายในแถบนั้น
เมื่อรถไฟลงถึงที่ลอนดอน เธอรีบตรงกลับไปที่บ้านและจดบันทึกเรื่องราวทุกอย่างที่เธอคิด โรว์ลิ่งวางแผนว่าจะเขียนให้มีถึง 7 ภาคด้วยกัน แต่ละเล่มคือแต่ละปีของแฮร์รี่ที่ฮอกวอตส์ เธอมักเขียนหนังสือที่ร้านกาแฟในเมืองเอดินเบอระ และคิดค้นหาชื่อตัวละครจากทุกที่ไม่ว่าจะเป็น สมุดโทรศัพท์ ป้ายร้านค้า นักบุญ หมู่บ้านต่าง ๆ รวมไปถึงสมุดตั้งชื่อเด็ก เธอยังได้คิดกีฬายอดฮิตของพวกพ่อมดที่มีชื่อว่าควิดดิช เธอคิดชื่อและประวัติของกีฬา รวมถึงวิธีการเล่นต่าง ๆ ลูกบอล ซึ่งโรว์ลิ่งได้นำกีฬาต่าง ๆ มาผสมผสานกัน
โรว์ลิ่งใช้เวลากว่า 5 ปีเพื่อที่จะทำการขัดเกลานิยายของเธอให้สมบูรณ์ ใช้ภาษาให้ดูสวยขึ้น เธอกล่าวภายหลังว่าบทควิดดิชในหนังสือเล่มแรกเธอสามารถเขียนได้เร็วที่สุดโดยเธอเขียนเสร็จภายในวันเดียวและแก้คำไปเพียงสองถึงสามคำเท่านั้น 5 ปีหลังจากที่เกิดความคิดที่จะเขียนนิยายเรื่องนี้ หนังสือของเธอก็ได้รับการตีพิมพ์และขายดีไปทั่วโลก

    แก่นเรื่อง

โรว์ลิ่งอธิบายถึงแก่นของเรื่องว่าเป็นการเกี่ยวข้องกับความตาย เธอกล่าวว่า
Cquote1.svg
หนังสือของฉันเกี่ยวข้องอย่างมากกับความตาย มันเริ่มต้นขึ้นด้วยการตายของพ่อแม่แฮร์รี่ มันมีเรื่องเกี่ยวกับการครอบงำจิตใจของโวลเดอมอร์เกี่ยวกับการเอาชนะความตายและการค้นหาความเป็นอมตะไม่ว่าจะด้วยราคาใด ๆ จุดหมายของทุกคนที่มีเวทมนตร์ ฉันเข้าใจว่าทำไมโวลเดอมอร์ต้องการเอาชนะความตาย พวกเราทุกคนกลัวมัน[8]
Cquote2.svg


แก่นเรื่องของแฮร์รี่ พอตเตอร์ยังเกี่ยวข้องกับสิ่งอื่นอีกหลายอย่าง เช่น ความรัก ความทระนง เสรีภาพในการเลือกชะตาของตัวเอง โรว์ลิ่งได้กล่าวว่าสารเหล่านี้ฝังตัวอยู่ในโครงเรื่องทั้งหมด เธอชอบที่จะให้เนื้อเรื่องดำเนินไปด้วยตัวของมันเองอย่างเป็นธรรมชาติ มากกว่าที่จะพยายามแทรกข้อคิดของตัวเองลงไปเพื่อให้ผู้อ่านรู้[9] ในขณะเดียวกันก็ยังนำเสนอเรื่องราวของความเป็นวัยรุ่น โรว์ลิ่งตั้งใจที่จะนำเสนอแง่คิดในการเติบโตด้านความรักของตัวละคร เพราะแฮร์รี่ไม่ได้จะเป็นเด็กอยู่ตลอดไป โรว์ลิ่งกล่าวว่า นัยทางด้านศีลธรรมของเรื่องนี้ชัดเจนมากสำหรับเธอ หัวใจของมันอยู่ที่การเลือกระหว่างสิ่งที่ถูกต้องกับสิ่งที่ง่ายดาย ดังที่ อัลบัส ดัมเบิลดอร์ ตัวแทนของฝ่ายดี กล่าวไว้ในเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์กับถ้วยอัคนี[10]